วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โครงสร้างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมตรี

บทความนี้จะเขียนเกี่ยวกับ โครงสร้างหรือรูปแบบของการเขียนเรียงความแก้ กระทู้ธรรม ในระดับ ธรรมศึกษาชั้นตรีเท่านั้น เพื่อให้ผู้ที่เริ่มเรียนหรือเรียนธรรมศึกษาชั้นตรีอยู่นั้น มีแผนการเขียนที่ถูกต้อง ซึ่งจำเป็นอย่างมากที่จะต้องทำความเข้าใจในโครงสร้างรูปแบบการเขียนให้ชัดเจนเสียก่อน ฉะนั้นโปรดทำความเข้าใจในโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้นด้านล่าง


<h1>โครงสร้างกระทู้ธรรมตรี, ธรรมศึกษาตรีและสอบธรรมสนามหลวง</h1>

อธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม
ในการอธิบายของผมจะขออธิบายอยู่ 8 ส่วนตามหมายเลข สีแดง ตามภาพเบื้องต้นนั้นดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 คือสุภาษิตบทตั้งเป็นสุภาษิตที่สนามหลวงกำหนดมาให้หรือเรียกว่าโจทย์ของวิชานี้ก็ได้และให้เขียนกึ่งหน้ากระดาษตามภาพ

ขั้นตอนที่ 2 การเขียนอารัมภบทคือ ณ บัดนี้.. ให้ขึ้นบรรทัดใหม่และย่อหน้าแล้วให้เขียนคำเต็มๆ ว่า
ณ บัดนี้จะได้อธิบายขยายความแห่งกระทู้ธรรมสุภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้อต้น พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและนำไปปฏิบัติสืบต่อไป

ขั้นตอนที่ 3 ตรงนี้เป็นการเริ่มเขียนอธิบายสุภาษิตบทตั้งที่สนามหลวงกำหนดเป็นโจทย์มาให้นั้นเอง ให้เราอธิบายประมาณ 7-10 บรรทัด (เว้นบรรทัดด้วย) พออธิบายได้ใจความตามบรรทัดที่กำหนดไว้แล้ว ให้เขียนคำว่า
สมดังสุภาษิตที่มาใน......ว่า (ต่อท้าย ตรงจุด...นั้นให้เขียนบอกที่มาของสุภาษิเชื่อม ก่อนที่จะเริ่มเขียนสุภาษิตเชื่อมต้องบอกที่มาของสุภาษิตก่อน)

ขั้นตอนที่ 4 การเขียนสุภาษิตเชื่อม เป็นสุภาษิตที่เราท่องไว้ เป็นสุภาษิตที่นำมาเชื่อมความกับสุภาษิตตั้ง เวลาเขียนต้องอยู่กึ่งกลางและตรงกับสุภาษิตบทตั้ง

ขั้นตอนที่ 5 ตรงนี้เป็นการเขียนอธิบายสุภาษิตเชื่อมที่และเช่นเดียวกันต้องให้ได้ประมาณ7-10 บรรทัดพอสมควร

ขั้นตอนที่ 6 คือขั้นตอนการเขียนสรุป ให้ย่อหน้าขึ้นบรรทัดใหม่ เขียนคำว่า สรุปความว่า... การสรุปความนั้น ควรสรุปประมาณ 5-6 บรรทัด เมื่อเขียนสรุปเสร็จแล้วให้เขียนคำว่า สมดังพุทธสุภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้อต้นนั้นว่า จากนั้นสุภาษิตบทตั้งมาปิดตามขั้นตอนที่ 7

ขั้นตอนที่ 7 ให้นำสุภาษิตบทตั้งมาปิดอีกทีตามโครงสร้างด้านบน

ขั้นตอนที่ 8 เป็นการเขียนคำปิดสุภาษิตบทตั้งอีก คือให้เขียนคำว่า มีนัยดังพรรณนามาด้วยประการฉะนี้ โดยไม่ต้องย่อหน้า นี้คือจบขั้นตอนการเขียนกระทู้ธรรมตรีครับไม่ยาก

TiP : ควรจำหลักสำคัญดังนี้
1.การเขียนสุภาษิตต้องอยู่กึงกลางหน้ากระดาษและตรงกัน
2. ตามเลข 2, 3, 5, 6, เวลาเขียนต้องย่อหน้าทุกครั้งนะครับและให้ตรงกัน
3.สิ่งที่ต้องจำให้ได้เองเมื่อลงมือเขียน คือ
          -คำอารัมภบท,
          -สุภาษิตเชื่อมพร้อมคำแปลและที่มาของสุภาษิตเชื่อม,
          -สมดังสุภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้อต้นนั้นว่า
          -มีนัยดังพรรณนามาด้วยประการฉะนี้

เหล่านี้ผู้เรียนผู้สอบต้องจำให้ได้เองนะครับ เพราะเวลาสอบจะมีแค่กระดาษขาวเปล่าวๆและโจทย์ปัญหาก็คือสุภาษิตบทตั้งที่สนามสอบนำมาให้เท่านั้น และผู้สอบจะต้องเขียนให้ถูกตามโครงสร้างเบื้องต้นนั้น ฉะนั้นอย่าลืมจำให้ได้นะครับอิอิ


สุดท้ายหวังว่าคงจะไม่ยากนะครับ ผมเชื่อว่าถ้าเราทำความเข้าใจดีๆแล้วลองลงมือเขียนประมาณสองสามครั้งเราก็จะจำรูปแบบโครงสร้างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมได้ขึ้นใจแน่นอน
- See more at: http://www.ธรรมศึกษา.com/2013/06/form-kratoo-tham-tri.html#sthash.2MV7zOXY.dpuf
ที่มา http://www.xn--12c9b1aha5ai6e7a.com/2013/06/form-kratoo-tham-tri.html

เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัตินักธรรมชั้นตรี

การเตรียมตัวสอบธรรมสนามหลวงที่ดีอีกอย่างหนึ่งของผู้เรียนนักธรรมชั้นตรีคือการได้อ่านปัญหาพร้อมคำตอบที่ถูกต้อง การฝึกทำข้อสอบฝึกเขียนบ่อยๆ และท่องจำเนื้อหาตรงที่ตัวเองยังจำไม่ได้ วิธีเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยเสริมทักษะของผู้เรียนให้มีความเข้าใจและชำนาญในการตอบปัญหาและการทำข้อสอบสนามหลวงครับ
<h1>เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัตินักธรรมชั้นตรี,นักธรรมตรี,ธรรมศึกษาออนไลน์,สอบธรรมสนามหลวง,ติวเข้มเตรียมสอบธรรมศึกษา</h1>

Tip:เทคนิคการทำข้อสอบทุกครั้งจะต้องเขียนตอบปัญหาแบบถ้วนคำถามและควรจะแสดงภูมิความรู้ให้สมกับที่ได้เรียนมา ดังนั้นผู้เรียนสามารถศึกษาและติวเข้มจากเก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาคด้านล่างนี้

๑.     พุทธบัญญัติและอภิสมาจาร คืออะไร? ทั้ง ๒ รวมเรียกว่าอะไร?
ตอบ พุทธบัญญัติ คือ ข้อห้ามที่พระพุทะเจ้าทรงตั้งขึ้น เพื่อป้องกันความเสียหาย และวางโทษแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดด้วยปรับอาบัติหนักบ้าง เบาบ้าง ส่วน
อภิสมาจาร คือขบนบธรรมเนียมที่ทรงแต่งตั้งขึ้น เพื่อชักนำความประพฤติของภิกษุสงให้ดีงาม
ทั้ง ๒ อย่างนี้รวมเรียกว่า พระวินัย

๒.     สิกขา สิกขาบท และอาบัติ ได้แก่อะไร?
ตอบ สิกขา ได้แก่ ข้อที่ภิกษุควรศึกษา มี ๓ อย่าง คือ สีสสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา
สิกขาบท ได้แก่ พระบัญญัติมาตราหนึ่งๆ ทรงตั้งขึ้นด้วยพุทธอาณาไว้สำหรับปรับโทษแก่ภิกษุหนักบ้าง เบาบ้าง
อาบัติ ได้แก่ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม

๓.     อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติ มีอะไรบ้าง?
ตอบ อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติ มี ๖ อย่าง คือ
          ๑. ต้องด้วยไม่ละอาย
          ๒. ต้องด้วยไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นอาบัติ
          ๓. ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำ
          ๔. ต้องด้วยสำคัญควรในของที่ไม่ควร
          ๕. ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
          ๖. ต้องด้วยลืมสติ

๔.    อาบัติว่าโดยชื่อมีกี่อย่าง? อะไรบ้าง?
ตอบ อาบัติว่าโดยชื่อมี ๗ อย่าง คือ
๑. ปาราชิก
๒. สังฆาทิเสส
๓. ถุลลัยจัย
๔. ปาจิตตีย์
๕. ปากิเทสนียะ
๖. ทุกกฎ
๗. ทุพภาสิต

๕.    ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติ?
ตอบ ต้องอาบัติแบบนี้คือ ฆ่ามนุษย์ให้ตาย ต้องอาบัติปาราชิก ฆ่าอมนุษย์ให้ตาย ต้องอาบัติถุลลัยจัย ฆ่าสัตว์เดรัจฉานให้ตาย ต้องอาบัติปาจิตตีย์

๖.     ไตรจีวรประกอบด้วยผ้าอะไรบ้าง? ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร ต้องปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ ไตรจีวรประกอบด้วยผ้า ๓ ผืนคือ ๑.สังฆาฏิ คือผ้าคลุม ๒.อุตตราสงค์ คือผ้าห่ม และ ๓.อันตรวาสก คือผ้านุ่ง
ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรต้องปฏิบัติดังนี้ คือต้องสละไตรจีวรผืนที่อยู่ปราศจากนั้น แล้วแสดงอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ เมื่อได้รับผ้ากลับคืนมาแล้วต้องอธิฐาษใหม่

๗.    จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้
๑. อติเรกจีวร ๒. จีวรกาล ๓. อนุปสัมบัน
ตอบ ๑. อติเรกจีวร หมายถึง จีวรที่ไม่ใช่จีวรอธิษฐาน
๒. จีวรกาล หมายถึงคราวที่เป็นฤดูถวายจีวร (คืออยู่จำพรรษาแล้ว ถ้าไม่ได้กรานกฐิน นับแต่วันปวารณาไป ๑ เดือน แต่ถ้าได้กรานกฐิน เพิ่มออกไปอีก ๔ เดือนในฤดูหนาว)
๓. อนุปสัมบัน หมายถึงบุคคลที่มิใช่ภิกษุ

๘.    เภสัช ๕ ได้แก่อะไรบ้าง? ภิกษุรับประเคนแล้วเก็ษไว้ฉันได้กี่วันเป็นอย่างยิ่ง?
ตอบ เภสัช ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย
ภิกษุรับประเคนแล้วเก็ษไว้ฉันได้ ๗ วัน

๙.    อธิกรณ์ คืออะไร? การตัดสินอธิกรณ์ตามเสียงข้างมาก เรียกว่าอะไร?
ตอบ อธิกรณ์ คือเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำ
การตัดสินอธิกรณ์ตามเสียงข้างมากเรียกว่า เยภุยยสิกา

๑๐. ข้อว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ นั้นมีอธิบายอย่างไร?
ตอบ มีอธิบายอย่างนี้คือ รับโดยแสดงความเอื้อเฟื้อในบุคคลผู้ให้ ไม่ดูหมิ่น และให้แสดงเอื้อเฟื้อในของที่เขาให้ ไม่ทำดังรับเอามาเล่นหรือเอามาทิ้งเสีย




สำคัญ:ผู้เรียนนักธรรมชั้นตรีควรอ่านปัญาหาข้างต้นบ่อยๆ บวกกับการฝึกเขียนฝึกทำข้อสอบ ฝึกตอบปัญหาด้วยตนเองจากปัญหาดังกล่าว ข้อไหนยากจำยากควรใช้วิธีท่องจำก็ได้ครับ และเมื่อผู้เรียนได้อ่านบ่อยๆ ทำข้อสอบบ่อยๆ ก็จะเป็นตัวช่วยแรงๆ ของเราอย่างมากแน่นอนเวลาสอบธรรมสนามหลวงจริงครับ
- See more at: http://www.ธรรมศึกษา.com/2013/08/kengkhosop-winai-nakthamtri-1.html#sthash.dvoeTtoz.dpuf
การเตรียมตัวสอบธรรมสนามหลวงที่ดีอีกอย่างหนึ่งของผู้เรียนนักธรรมชั้นตรีคือการได้อ่านปัญหาพร้อมคำตอบที่ถูกต้อง การฝึกทำข้อสอบฝึกเขียนบ่อยๆ และท่องจำเนื้อหาตรงที่ตัวเองยังจำไม่ได้ วิธีเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยเสริมทักษะของผู้เรียนให้มีความเข้าใจและชำนาญในการตอบปัญหาและการทำข้อสอบสนามหลวงครับ
<h1>เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัตินักธรรมชั้นตรี ตอนที่ 2,นักธรรมตรี,ธรรมศึกษาออนไลน์,สอบธรรมสนามหลวง,ติวเข้มเตรียมสอบธรรมศึกษา</h1>

Tip:เทคนิคการทำข้อสอบทุกครั้งจะต้องเขียนตอบปัญหาแบบถ้วนคำถามและควรจะแสดงภูมิความรู้ให้สมกับที่ได้เรียนมา ดังนั้นผู้เรียนสามารถศึกษาและติวเข้มจากเก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาคด้านล่างนี้


๑.    พระภิกษุผู้รักษาพระวินัยดีโดยถูกทางแล้ว ย่อมได้อานิสงส์อะไร?
ตอบ ย่อมได้อานิสงส์คือ ความไม่ต้องเดือดร้อนใจ ได้รับความแช่มชื่น อาจหาญไม่สะทกสะท้าน

๒.   อาบัติ คืออะไร? อาบัติที่เป็นโลกวัชชะและที่เป็นปัณณัตติวัชชะหมายความว่าอย่างไร? จงยกตัวอย่างประกอบด้วย
ตอบ อาบัติ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้ามฯ
อาบัติที่เป็นโลกวัชชะหมายความว่า อาบัติที่มีโทษซึ่งภิกษุทำเป็นความผิดความเสีย คนสามัญทำก็เป็นความผิดความเสียเหมือนกัน เช่น ทำโจรกรรม เป็นต้น ส่วนปัณณัตติวัชชะหมายความว่า อาบัติที่มีโทษเฉพาะภิกษุทำ แต่คนสามัญทำไม่เป็นความผิดความเสีย เฃ่น ขุด ดิน เป็นต้น

๓.   สิกขากับสิกขาบท ต่างกันอย่างไร? อย่างไหนมีเท่าไร? อะไรบ้าง?
ตอบ สิกขา คือข้อที่ภิกษุต้องศึกษา มี ๓ ได้แก่ สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา
สิกขาบท คือพระบัญญัติมารตาหนึ่งๆ เป็นสิกขาบทหนึ่งๆ มี ๒๒๗ สิกขาบท ได้แก่ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยวัตร ๗๕ และ อธิกรณ์สมณะ ๗

๔.    คำว่า อาบัติไม่มีมูล กำหนดโดยอาการอย่างไร?
ตอบ คำว่า อาบัติไม่มีมูล กำหนดโดยทวาร ๓ คือ
๑.ไม่ได้เห็นเอง
๒.ไม่ได้ยินเอง
๓.ไม่ได้เกิดรังเกียจสงสัย ว่าภิกษุนั้นต้องอาบัติชื่อนั้น
โจทย์ด้วยอาบัติปาราชิกต้องอาบัติสังฆาทิเสส โจทย์ด้วยอาบัติอื่นจากอาบัติปาราชิกต้องอาบัติปาจิตตีย์

๕.  ในสิกขาบทที่ ๒ แห่งอาบัติปาราชิก ทรัพย์เป็นเหตุให้ต้องอาบัติปาราชิก อาบัติถุลลัจจัย และอาบัติทุกกฏ มีกำหนดราคาไว้เท่าไร?
ตอบ มีกำหนดราคาไว้ดังนี้
๑. ทรัพย์ มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป เป็นเหตุให้ต้องอาบัติปาราชิก
๒. ทรัพย์ มีราคาไม่ถึง ๕ มาสก แต่มากกว่า ๑ มาสก เป็นเหตุให้ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๓. ทรัพย์ มีราคาตั้งแต่ ๑ มาสกลงมา เป็นเหตุให้ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

๖.   ผ้าไตรครอง มีอะไรบ้าง? ต่างจากอติเรกจีวรอย่างไร?
ตอบ ผ้าไตรครอง มี สังฆาฏิ อุตตราสงค์ อันตรวาสก ฯ
ต่างกันอย่างนี้ ผ้าไตรครองเป็นผ้าที่ภิกษุอธิษฐาน มีจำนวนจำกัด คือ ๓ ผืน ส่วนอติเรกจีวร คือผ้าที่นอกเหนือจากผ้าไตรครอง มีได้ไม่จำกัดจำนวน ฯ

๗.  ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์ มาเพื่อตน เพื่อบุคคลอื่น เพื่อเจดีย์ เพื่อสงฆ์หมู่อื่น จะเป็นอาบัติอะไรได้บ้าง?
ตอบ น้อมมาเพื่อตน เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์
น้อมมาเพื่อบุคคลอื่น เป็นอาบัติปาจิตตีย์
น้อมาเพื่อเจดีย์และเพื่อสงฆ์หมู่อื่น เป็นอาบัติทุกกฎ

๘.  ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกับสามเณร จะเป็นอาบัติอะไรหรือไม่?
ตอบ ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกับสามเณรได้ ๓ คืนไม่เป็นอาบัติ แต่ถ้าเกินกว่านั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์

๙. ลักษณะการประเคนประกอบด้วยองค์อะไรบ้าง? การช่วยกันยกโต๊ะอาหารขึ้นประเคนก็ดี การจับผ้าปูโต๊ะประเคนก็ดี ทั้ง ๒ วิธีนี้ถูกต้องหรือไม่? เพราะเหตุไร?
ตอบ ประกอบด้วยองค์ต่อไปนี้
๑. ของที่จะพึงประเคนนั้นไม่ใหญ่โตหรือหนักเกินไป พอคนปานกลาง ยกได้คนเดียว
๒. ผู้ประเคนเข้ามาอยู่ในหัตถบาส
๓. เขาน้อมเข้ามา
๔. กิริยาที่น้อมเข้ามาให้นั้น ด้วยกายก็ได้ ด้วยของเนื่องด้วยกายก็ได้ ด้วยโยนให้ก็ได้
๕. ภิกษุรับด้วยกายก็ได้ ด้วยของเนื่องด้วยกายก็ได้ฯ
ไม่ถูกทั้ง ๒ วิธี เพราะไม่ต้องลักษณะองค์ประเคน คือ การช่วยกัน ยกโต๊ะอาหารขึ้นประเคนผิดลักษณะองค์ที่ ๑ การจับผ้าปูโต๊ะประเคนผิดลักษณะองค์ที่ ๓

๑๐. อธิกรณ์ คืออะไร? เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องทำอย่างไร?
ตอบ อธิกรณ์ คือ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำ ฯ
เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องระงับด้วยอธิกรณสมถะอย่างใดอย่างหนึ่งตามสมควรแก่อธิกรณ์นั้นๆ




สำคัญ: ผู้เรียนนักธรรมชั้นตรีควรอ่านปัญาหาข้างต้นบ่อยๆ บวกกับการฝึกเขียนฝึกทำข้อสอบ ฝึกตอบปัญหาด้วยตนเองจากปัญหาดังกล่าว ข้อไหนยากจำยากควรใช้วิธีท่องจำก็ได้ครับ และเมื่อผู้เรียนได้อ่านบ่อยๆ ทำข้อสอบบ่อยๆ ก็จะเป็นตัวช่วยแรงๆ ของเราอย่างมากแน่นอนเวลาสอบธรรมสนามหลวงจริงครับ
- See more at: http://www.ธรรมศึกษา.com/2013/08/kengkhosop-winai-nakthamtri-2.html#sthash.d1O6xHjv.dpuf
การเตรียมตัวสอบธรรมสนามหลวงที่ดีอีกอย่างหนึ่งของผู้เรียนนักธรรมชั้นตรีคือการได้อ่านปัญหาพร้อมคำตอบที่ถูกต้อง การฝึกทำข้อสอบฝึกเขียนบ่อยๆ และท่องจำเนื้อหาตรงที่ตัวเองยังจำไม่ได้ วิธีเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยเสริมทักษะของผู้เรียนให้มีความเข้าใจและชำนาญในการตอบปัญหาและการทำข้อสอบสนามหลวงครับ
<h1>เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัตินักธรรมชั้นตรี ตอนที่ 3,นักธรรมตรี,เก็งข้อบนักธรรม,ธรรมศึกษาออนไลน์,สอบธรรมสนามหลวง,ติวเข้มเตรียมสอบธรรมศึกษา</h1>

Tip:เทคนิคการทำข้อสอบทุกครั้งจะต้องเขียนตอบปัญหาแบบถ้วนคำถามและควรจะแสดงภูมิความรู้ให้สมกับที่ได้เรียนมา ดังนั้นผู้เรียนสามารถศึกษาและติวเข้มจากเก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาคด้านล่างนี้

๑.    พระศาสดาผู้เป็นสังฆบิดรดูแลภิกษุสงฆ์ ทรงทำหน้าที่ทางพระวินัยอย่างไร?
ตอบ พระศาสดาทรงทำหน้าที่ ๒ ประการ คือ
๑.ทรงตั้งพุทธบัญญัติเพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดด้วยปรับอาบัติหนักบ้าง เบาบ้าง
๒.ทรงตั้งขนบธรรมเนียม ซึ่งเรียกว่าอภิสมาจารเพื่อชักนำความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ดีงาม

๒.    ทำไมต้องมีพระวินัยสำหรับปกครองหมู่ภิกษุ และหมู่ภิกษุทำไมต้องประพฤติตามพระวินัย?
ตอบ เพราะว่าหากจะไม่มีพระวินัยสำหรับปกครอง หรือหมู่ภิกษุจะไม่ประพฤติตามพระวินัย ก็จะเป็นหมู่ภิกษุที่เลวทราม ไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาและเลื่อมใส แต่ถ้าต่างรูปประพฤติตามพระวินัย ก็จะเป็นหมู่ภิกษุที่ดี ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใส พระวินัยจึงรักษาหมู่ภิกษุให้ตั้งอยู่เป็นอันดี และทำให้เป็นหมู่ที่งดงาม

๓.    สิกขาบทที่มีมาในพระปาติโมกข์ มีเท่าไร? ว่าโดยหมวดมีอะไรบ้าง?
ตอบ สิกขาบทที่มีมาในพระปาติโมกข์ มี ๒๒๗ สิกขาบท ฯ
มี ปาราชิก ๔  สังฆาทิเสส ๑๓  อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ๔ เสขิยะ๗ ๕ อธิกรณสมถะ ๗

๔.   ครุกาบัติ ที่แก้ไขได้ก็มี ที่แก้ไขไม่ได้ก็มี ที่แก้ไขได้ได้แก้อาบัติอะไร ที่แก้ไขไม่ได้ได้แก่อาบัติอะไร?
ตอบ ที่แก้ไขได้ได้แก่อาบัติสังฆาทิเสสลงมา ที่แก้ไขไม่ได้ได้อาบัติปาราชิก

๕.   เมื่อภิกษุต้องอาบัติแล้ว จะพึงปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ เมื่อภิกษุอาบัติแล้ว พึงบอกภิกษุด้วยกันในวันนั้น และพึงแก้ไขตามวิธีนั้น

๖.     สังหาริมทรัพย์ และ อสังหาริมทรัพย์คือทรัพย์เช่นไร? ภิกษุจะต้องอาบัติถึงที่สุดในเพราะลักทรัพย์ทั้ง ๒ อย่างนั้นเมื่อใด?
ตอบ สังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ อสังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้
สำหรับสังหาริมทรัพย์ ภิกษุจะต้องอาบัติถึงที่สุด ในเมื่อทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนจากที่เดิม  
ส่วนอสังหาริมทรัพย์ จะต้องอาบัติถึงที่สุด ในเมื่อเจ้าของทอดกรรมสิทธิ์

๗.   พระ ก. นำเบียร์มาให้พระ ข. ดื่ม โดยหลอกว่าเป็นน้ำอัดลม พระ ข. หลงเชื่อจึงดื่มเข้าไป ถามว่าพระ ก. และพระ ข. ต้องอาบัติอะไรหรือไม่?
ตอบ พระ ก. ต้องอาบัติปาจิตตีย์เพราะพูกปด ส่วนพระ ข. เป็นอาบัติปาจิตตีย์เพราะดื่มน้ำเมา แม้ไม่รู้ก็ต้องอาบัติ เพราะสิกขาบทนี้เป็นอจิตตกะ

๘.   ภิกษุซ่อนผ้าอาบน้ำฝน บาตร จีวร กล่องเข็ม ด้าย ของเพื่อนภิกษุหรือสามเณรเพื่อล้อเล่น เป็นอาบัติอะไรบ้าง?
ตอบ ซ่อนผ้าอาบน้ำฝน ด้าย ของเพื่อนภิกษุ เป็นอาบัติทุกกฏ 
ซ่อนบาตร จีวร กล่องเข้ม ของเพื่อนภิกษุ เป็นอาบัติปาจิตตีย์
ซ่อนของสามเณรทุกอย่างเป็นทุกกฏ

๙.   เสขิยวัตร คืออะไร? แบ่งเป็นกี่หมวด? อะไรบ้าง?
ตอบ เสขิยวัตร คือ ธรรมเนียมหรือวัตรที่ภิกษุสามเณรพึงศึกษา แบ่งเป็น ๔ หมวด คือ
๑.สารูป ว่าด้วยธรรมเนียมควรประพฤติในเวลาเข้าบ้าน
๒.โภชนปฏิสังยุต ว่าด้วยธรรมเนียมรับบิณฑบาตและฉันอาหาร
๓.ธัมมเทสนาปฏิสังยุต ว่าด้วยธรรมเนียมไม่ให้แสดงธรรมแก่บุคคผู้แสดงอาการไม่เคารพ
๔.ปกิณณกะ ว่าด้วยธรรเนียมถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ

๑๐. วิวาทาธิกรณ์กับอนุวาทาธิกรณ์ ต่างกันอย่างไร?
ตอบ วิวาทาธิกรณ์ คือการเถียงว่า สิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ส่วนอนุวาทาธิกรณ์ คือการโจทกันด้วยอาบัติ


สำคัญ: ผู้เรียนนักธรรมชั้นตรีควรอ่านปัญาหาข้างต้นบ่อยๆ บวกกับการฝึกเขียนฝึกทำข้อสอบ ฝึกตอบปัญหาด้วยตนเองจากปัญหาดังกล่าว ข้อไหนยากจำยากควรใช้วิธีท่องจำก็ได้ครับ และเมื่อผู้เรียนได้อ่านบ่อยๆ ทำข้อสอบบ่อยๆ ก็จะเป็นตัวช่วยแรงๆ ของเราอย่างมากแน่นอนเวลาสอบธรรมสนามหลวงจริงครับ
- See more at: http://www.ธรรมศึกษา.com/2013/08/kengkhosop-winai-nakthamtri-3.html#sthash.OGI9m53Q.dpuf
ที่มา..http://www.xn--12c9b1aha5ai6e7a.com/2013/08/triamsop-nakthamtri.html